วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เสนอความคิดเห็น

ดิฉันนางสาวจารุวรรณ เวียงสิมา สาขาการบัญชีปี 2
รู้สึกดีใจมากๆค่ะที่ได้เรียนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
ทำให้ดิฉันได้รับความรู้อย่างมาก สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

download คืออะไร

การดาวน์โหลด (Download) หมายถึง การดึงข้อมูลจากคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งซึ่งเป็นต้นทางมาเก็บไว้ยังเครื่องของเรา โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การอัพโหลด (Upload) หมายถึง การนำข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ไปเก็บไว้ยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่ปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับดาวน์โหลด

ประเภทของโปรแกรมที่ให้บริการในอินเทอร์เน็ต

โดยทั่วไปโปรแกรมหรือไฟล์ที่เก็บอยู่ในโฮสต์ (เครื่องให้บริการ) มีหลายประเภทหากแบ่งตามลักษณะของการถ่ายโอนข้อมูล จะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

1. ฟรีแวร์ (Freeware) หมายถึงโปรแกรมที่มีผู้สร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่สาธารณชนใช้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีแวร์ไปใช้เองและถ่ายโอนให้ผู้อื่นต่อไปได้ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่นำไปขายหรือหารายได้จากโปรแกรมนั้น เช่น โปรแกรม Linux เป็นต้น

2. แชร์แวร์ (Shareware) หมายถึง โปรแกรมที่มีผู้สร้างขึ้นเพื่อตั้งใจจะจำหน่าย แต่ยอมให้ผู้สนใจนำไปทดลองใช้ก่อนโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ แต่ถ้าหากพอใจและต้องการใช้งานอย่างจริงจัง จะต้องจ่ายเงินซื้อโปรแกรมดังกล่าวจึงจะได้โปรแกรมฉบับสมบูรณ์

3. คอมเมอร์เชียลแวร์ (Commercial ware) หมายถึง โปรแกรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อจำหน่วย ไม่มีการแจกฟรี ผู้ใช้อาจจะได้ดูตัวอย่างบ้างแต่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ ถ้าหากต้องการจะต้องซื้อจึงจะดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้งานได้

โปรแกรมดาวน์โหลด-อัฟโหลดข้อมูลที่น่าสนใจ

1. โปรแกรม GetRigth

เป็นโปรแกรมเอฟทีพีที่ได้รับความนิยมมาก มีคุณสมบัติที่เด่น เช่นดาวน์โหลดไฟล์ขนาด

ใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว กรณีที่สายโทรศัพท์หลุดในระหว่างดาวน์โหลด โปรแกรมจะช่วยต่อโทรศัพท์อัตโนมัติ เมื่อดาวน์โหลดโปรแกรมเสร็จจะวางหูโทรศัพท์ให้ นอกจากนั้นช่วยปิดโทรศัพท์ให้เมื่อดาวน์โหลดเสร็จ และตั้งเวลาในการดาวน์โหลดไฟล์อัตโนมัติให้อีกด้วย

2. โปรแกรม Teleport Pro

เป็นโปรแกรมดาวน์โหลดที่นิยมใช้อีกโปรแกรมหนึ่ง เหมาะสำหรับดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ มีข้อมูลและรูปภาพปริมาณจำนวนมาก ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดเว็บไซต์ทั้งเว็บไวต์แล้วนำมาเปิดดูได้ภายหลัง โดยข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่ดาวน์โหลดมาใช้งานนั้นจะสามารถนำมาให้บริการในลักษณะของ อินเทอร์เน็ตออฟไลน์ (Off-line) ที่เสมือนกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตตามปกติ

โปรแกรม Teleport Pro นี้เป็นโปรแกรมประเภทแชร์แวร์หรือทดลองให้ใช้ ถ้าสนใจใช้เต็มรูปแบบต้องเสียค่าลงทะเบียนใช้เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวมาทดลองใช้ที่ www.download.com

3. โปรแกรม Go!Zilla

โปรแกรมที่มีความสามารถโดดเด่นหลายประการ เช่น ดาวน์โหลดได้เร็ว ป้องกันสายหลุด ดาวน์โหลดได้หลายๆ ไฟล์พร้อมกัน และที่สำคัญโปรแกรมนี้ใช้งานได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมนี้ได้ที่ www.gozilla.com

4. โปรแกรม WS-FTP

เป็นโปรแกรมอัพโหลดและดาวน์โหลดที่ได้รับความนิยมสูงซึ่งมีการพัฒนาปรับปรุงมา

อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนการดาวน์โหลดไฟล์พร้อมๆ กันและน่าใช้อีกโปรแกรม

5. โปรแกรม CuteFTP

เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอีกโปรแกรมหนึ่งที่สนับสนุนการดาวน์โหลดและ

อัฟโหลด สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้ได้จากเว็บไซต์ www.cuteftp.com มีคุณสมบัติ

ที่น่าสนใจ เช่น

1. สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ต่อเนื่อง

2. สามารถหยุดขณะดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์

3. จัดลำดับการถ่ายโอนข้อมูลตามลำดับที่เลือกไว้

4. สร้างเว็บมิเรอร์ (Web Mirror) ของเว็บไซต์ทั้งหมด

5. สามารถกำหนดการอัฟโหลดไฟล์ด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่หรือคงรูปแบบเดิม

วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลจากเว็บไซต์

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงการดึงข้อมูลมายังเครื่องที่เราใช้อยู่ ที่เรียกว่า การดาวน์โหลดข้อมูล (Download) โดยเป็นการดาวน์โหลดข้อมูลผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการไฟล์ โปรแกรมฟรีหรือทดลองใช้ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้

1. เข้าไปยังเว็บไซต์ที่ให้บริการดาวน์โหลด ในที่นี้เลือก www.download.com พิมพ์ URL ที่ช่อง Address
2. เลือกหาโปรแกรมที่ต้องการดาวน์โหลด โดยการพิมพ์ชื่อโปรแกรมลงในช่องค้นหาชื่อโปรแกรม เช่น ต้องการโปรแกรม Winamp เสร็จแล้ว คลิกปุ่ม Search


3. คลิกเลือกโปรแกรมที่ต้องการ คือ โปรแกรม Winamp

4. เว็บไซต์จะบอกรายละเอียดของโปรแกรมที่ต้องการจะดาวน์โหลด เช่น ประเภท รุ่น วันที่ ขนาดไฟล์ คุณภาพของโปรแกรม เป็นต้น

5. คลิกเลือกปุ่ม Download


6. จะปรากฎหน้าต่าง Save as ให้เลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการเก็บโปรแกรม

7. คลิกปุ่ม Save

8. โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลด โดยมีหน้าต่างแสดงการโอนย้ายไฟล์ให้มองเห็น และเมื่อดาวน์โหลดเสร็จ ก็ติดตั้งโปรแกรมนั้นตามขั้นตอนการติดตั้งของโปรแกรมต่อไป


สรุป Download คือการโอนย้ายไฟล์หรือข้อมูลจากที่หนึ่งไปอีกทีหนึ่ง เช่น การโอนไฟล์หรือว่าข้อมูลมาจาก อินเตอร์เนต หรือว่า จากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้ามาบันทึกเอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ในทางกลับกัน ถ้าเราจะนำไฟล์หรือข้อมูลของเรา
ไปบันทึกไว้เครื่องอื่น ที่มีการเชื่อมต่อกันมากกว่า 2 เครื่อง การโอนไฟล์หรือข้อมูลจากเครื่องของเรา
ไปบันทึกไว้บนเครื่องแม่ข่ายที่ใ้ห้บริการฝากข้อมูล หรือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น จะเรียกว่า Upload ถ้าเรารับข้อมูลมา เรียกว่า การ Download ถ้าเราส่งข้อมูลออกไป เรียกว่า การ Upload



http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=3644064993726346068

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สารบัญ

เรื่อง หน้า

ความหมายของระบบเครือข่าย 1

รูปแบบของเครือข่าย 2
TCP/IP กับเครือข่ายอินเตอร์เนต 4
IP ADDRESS 6
OSI MODEL 7
ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อการติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ
แล้วทำไมเราถึงต้องใช้เครือข่าย หรือระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย การที่เรานำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกัน เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ หรือระบบสามารถทำอะไรได้บ้าง ทำให้ใช้ทรัพยากร ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้ (Resources Sharing) ซึ่งเป็นการช่วย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสะดวก ในการใช้งาน เช่น การใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ และเครื่องพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทำงานของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และสามารถทำการ สำรองข้อมูล ของแต่ละเครื่องได้ สามารถทำการสื่อสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบเห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่นสามารถ ระบุผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สำคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment) เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรือที่เรียกว่า มัลติ เพลเยอร์(Multi Player) ที่กำลัง เป็นที่นิยมกันอยู่ในเวลานี้ได้
ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหนึ่งในเครือข่าย โดยมีแอคเคาท์เพียงหนึ่งแอคเคาท์ ก็ทำให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมีหลายแอคเคาท์ฯลฯ


รูปแบบของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้ หลายวิธี เช่นตามรูปแบบ การเชื่อมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบดาว (star), แบบวงแหวน (ring) หรือจะเรึยกตามขนาด หรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่นแลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครือข่าย ยังสามารถ เรียกได้ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ในการส่งผ่านข้อมูล เช่น เครือข่าย TCP/IP, เครือข่าย IPX, เครือข่าย SNA หรือเรียกตาม ชนิดของข้อมูล ที่มีการส่งผ่าน เช่นเครือข่าย เสียงและวิดีโอ
เรายังสามารถจำแนกเครือข่ายได้ ตามกลุ่มที่ใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต (Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อินทราเน็ต (Intranet), เครือข่ายเสมือน (Virtual Private Network) หรือเรียก ตามวิธีการ เชื่อมต่อทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนำแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เราสามารถจำแนก ระบบเครือข่าย ได้หลากหลายวิธี ตามแต่ว่า เราจะพูดถึง เครือข่ายนั้นในแง่มุมใด เราจำแนก ระบบเครือข่าย ตามวิธีที่นิยมกัน 3 วิธีคือ รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology), รูปแบบการสื่อสาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Architecture)

การจำแนกระบบเครือข่าย ตามรูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) จะบอกถึงรูปแบบ ที่ทำการ เชื่อมต่ออุปกรณ์ ในเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งมีรูปแบบที่นิยมกัน 3 วิธีคือ

แบบบัส (Bus)


ในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทำงานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลัก ที่เรียกว่า "บัส" (BUS) การควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือ แบบควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซึ่งจะมีโหนดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่าย จะมีสิทธิในการควบคุมการสื่อสาร
แบบดาว (Star )


เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทำโดยสถานีศูนย์กลาง ทำหน้าที่เป็นตัวสวิตชิ่ง ข้อมูลทั้งหมดในระบบเครือข่าย จะต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper) เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสาร ที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์กลางยังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลางข้อมูลอีกด้วย
การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบ STAR คือการติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้









แบบวงแหวน (Ring)



เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปในทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือสเตชั่น จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูล ที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้น ส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป

โทโปโลยีแบบผสม (Hybridge Topology)


เป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหนึ่งหรือมากกว่า เพื่อความถูกต้องแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและภาพรวมขององค์กร


TCP/IP กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เครื่องคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สื่อสารระหว่างกันโดยใช้ Transmission Control Protocol (TCP) และ Internet Protocol (IP) รวมเรียกว่า TCP/IP ข้อมูลที่ส่งจะถูกตัดออกเป็นส่วนๆ เรียก packet แล้วจ่าหน้าไปยังผู้รับด้วยการกำหนด IP Address เช่น สมมติเราส่ง e-mail ไปหาใครสักคน e-mail ของเราจะถูกตัดออกเป็น packet ขนาดเล็กๆ หลายๆ อัน ซึ่งแต่ละอันจะจ่าหน้าถึงผู้รับเดียวกัน packets พวกนี้ก็จะวิ่งไปรวมกับ packets ของคนอื่นๆ ด้วย ทำให้ในสายของข้อมูล packets ของเราอาจจะไม่ได้เรียงติดกัน packets พวกนี้จะวิ่งผ่าน ชุมทาง (gateway) ต่างๆ โดยตัว gateway (อาจเรียก router) จะอ่านที่อยู่ที่จ่าหน้า แล้วจะบอกทิศทางที่ไปของแต่ละ packet ว่าจะวิ่งไปในทิศทางไหน packet ก็จะวิ่งไปตามทิศทางนั้น เมื่อไปถึง gateway ใหม่ก็จะถูกกำหนดเส้นทางให้วิ่งไปยัง gateway ใหม่ที่อยู่ถัดไป จนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง เช่นเราติดต่อกับเครื่องในอเมริกา อาจจะต้องผ่าน gateway ถึง 10 แห่ง เมื่อ packet วิ่งมาถึงปลายทางแล้ว เครื่องปลายทางก็จะเอา packets เหล่านั้นมาเก็บสะสมจนกว่าจะครบ จึงจะต่อกลับคืนให้เป็น e-mail

TCP/IP ตัดข้อมูลออกเป็น packet เล็กๆ ส่งไปบนสายส่งข้อมูลที่ไปถึงปลายทางถูกจับมารวมกันอีกครั้ง
การที่ข้อมูลมีลักษณะเป็น packet ทำให้ในสายสื่อสารสามารถที่จะ ขนส่งข้อมูลโดยไม่ต้องจอง (occupies) สายไว้สายจึงสามารถใช้ร่วมกันกับข้อมูลที่ส่งจากเครื่องอื่นได้ ต่างจากโทรศัพท์ที่ขณะใช้งาน จะไม่มีใครใช้สายได้ ดังตัวอย่างในรูปข้าล่างนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ A และ C สื่อสารกันด้วย packet สีดำ ซึ่งใช้สายร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ซึ่ง packet ดังกล่าวอาจจะเป็นสัญญาณเสียง (เช่น Internet Phone) ซึ่งเมื่อ packet เดินทางมาถึงก็จะถูกจับมารวมกันให้เป็นเสียงของการพูดคุย ไม่เหมือนโทรศัพท์แบบปรกติ ที่ขณะใช้งานสาย จะไม่สามารถนำไปทำงานอื่น ๆ ได้อีก





IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด
การสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
1. Network Address?
2. Computer Address

การแบ่งขนาดของเครือข่าย
เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ
1. Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข
2. Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข
3. Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233)
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข













OSI Model เป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงถึงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่านNetwork ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานกลางแล้ว การพัฒนาและใช้งานที่เกี่ยวกับ Network ทั้ง Hardware และ Software ของผู้ผลิตที่เป็นคนละยี่ห้อ อาจเกิดปัญหาเนื่องจากการไม่ compatible กัน
OSI เป็น model ในระดับแนวคิด ประกอบด้วย Layer ต่างๆ 7 ชั้น แต่ละ Layer จะอธิบายถึงหน้าที่การทำงานกับข้อมูล
OSI Model พัฒนาโดย International Organization for Standardization (ISO) ในปี 1984 และเป็นสถาปัตยกรรมโมเดลหลักที่ใช้อ้างอิงในการสื่อสาระหว่าง Computer โดยข้อดีของ OSI Model คือแต่ละ Layer จะมีการทำงานที่เป็นอิสระจากกัน ดังนั้นจึงสามารถออกแบบอุปกรณ์ของแต่ละ Layer แยกจากกันได้ และการปรับปรุงใน Layer หนึ่งจะไม่มีผลกระทบกับ Layer อื่นๆ
7 Layer ของ OSI Model สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ upper layers และ lower layers
Upper layers โดยทั่วไปจะเป็นส่วนที่พัฒนาใน Software Application โดยประกอบด้วย Application Layer, Presentation Layer และ Session Layer
Lower Layer จะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลซึ่งอาจจะพัฒนาได้ทั้งแบบเป็น Software และ Hardware
OSI Model ประกอบด้วย 7 Layer คือ



ข้อมูลข่าวสารที่ส่งจาก Application บน Computer เครื่องหนึ่ง ไปยัง Application บน Computer จะต้องส่งผ่านแต่ละ Layer ของ OSI Model ตามลำดับ ดังรูป
โดย Layer แต่ละ Layer จะสามารถสื่อสารได้กับ Layer ข้างเคียงในขั้นสูงกว่าและต่ำกว่า และ Layer เดียวกันในอีกระบบ Computer เท่านั้น


Data ที่จะส่งจะถูกเพิ่ม header ของแต่ละชั้นเข้าไป เมื่อมีการรับข้อมูลที่ปลายทางแล้ว header จะถูกถอดออกตามลำดับชั้น



ตัวอย่าง ในการส่ง Mail จะถูกประกบ header เข้าไป 3 ชั้นเรียงจากบนลงมาคือ
ชั้น Transport จะใส่เบอร์ Port ของ Mail คือ Port 25
ชั้น Network จะถูกใส่ต้นทางและปลายทางโดย Router
ชั้น Datalink จะใส่เป็น Mac Address โดย Switch



โดยแต่ละ Layer ของ OSI Model จะมีหน้าที่ต่างกันดังนี้

Physical Layer
ชั้น Physical เป็นการอธิบายคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น คุณสมบัติทางไฟฟ้า และกลไกต่างๆ ของวัสุที่ใช้เป็นสื่อกลาง ตลอดจนสัญญาณที่ใช้ในการส่งข้อมูล คุณสมบัติที่กำหนดไว้ในชั้นนี้ประกอบด้วยคุณลักษณะทางกายภาพของสาย, อุปกรณ์เชื่อมต่อ (Connector), ระดับความตางศักย์ของไฟฟ้า (Voltage) และอื่นๆ เช่น อธิบายถึงคุณสมบัติของสาย Unshield Twisted Pair (UTP)

Datalink Layer
ชั้น Datalink เป็นชั้นที่อธิบายถึงการส่งข้อมูลไปบนสื่อกลาง ชั้นนี้ยังได้ถูกแบ่งออกเป็นชั้นย่อย (SubLayer) คือ Logical Link Control (LLC) และ Media Access Control (MAC) การแบ่งแยกเช่นนี้จะทำให้ชั้น LLC ชั้นเดียวสามารถจะใช้ชั้น MAC ที่แตกต่างกันออกไปได้หลายชั้น ชั้น MAC นั้นเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับแอดเดรสทางกายภาพอย่างที่ใช้ในมาตรฐานอีเทอร์เน็ตและโทเคนริง แอดเดรสทางกายภาพนี้จะถูกฝังมาในการ์ดเครือข่ายโดยบริษัทผู้ผลิตการ์ดนั้น แอดเดรสทางกายภาพนั้นเป็นคนละอย่างกับแอดเดรสทางตรรกะ เช่น IP Address ที่จะถูกใช้งานในชั้น Network เพื่อความชัดเจนครบถ้วนสมบูรณ์ของการใช้ชั้น Data-Link นี้

Network Layer
ในขณะที่ชั้น Data-Link ให้ความสนใจกับแอดเดรสทางกายภาพ แต่การทำงานในชั้น Network จะให้ความสนใจกับแอดเดรสทางตรรกะ การทำงานในชั้นนี้จะเป็นการเชื่อมต่อและการเลือกเส้นทางนำพาข้อมูลระหวางเครื่องสองเครื่องในเครือข่าย
ชั้น Network ยังให้บริการเชื่อมต่อในแบบ "Connection Oriented" อย่างเช่น X.25 หรือบริการแบบ "Connectionless" เช่น Internet Protocol ซึ่งใช้งานโดยชั้น Transport ตัวอย่างของบริการหลักที่ชั้น Network มีให้คือ การเลือกส้นทางนำพาข้อมูลไปยังปลายทางที่เรียกว่า Routing
ตัวอย่างของโปรโตคอลในชั้นนี้ประกอบด้วย Internet Protocol (IP) และ Internet Control Message Protocol (ICMP)

Transport Layer
ในชั้นนี้มีบางโปรดตคอลจะให้บริการที่ค่อนข้างคล้ายกับที่มีในชั้น Network โดยมีบริากรด้านคุณภาพที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่ในบางโปรโตคอลที่ไม่มีการดูแลเรื่องคุณภาพดังกล่าวจะอาศัยการทำงานในชั้น Transport นี้เพื่อเข้ามาช่วยดูแลเรื่องคุณภาพแทน เหตุผลที่สนับสนุนการใช้งานชั้นนี้ก็คือ ในบางสถานการณ์ของชั้นในระดับล่างทั้งสาม (คือชั้น Physical, Data-Link และ Network) ดำเนินการโดยผู้ให้บริการโทรคมนาคม การจะเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพให้กับผู้ใช้บริการก็ด้วยการใช้ชั้น Transport นี้
"Transmission Control Protocol (TCP) เป็นโปรโตคอลในชั้น Transport ที่มีการใช้งานกันมากที่สุด"

Session Layer
ชั้น Session ทำหน้าที่สร้างการเชื่อมต่อ, การจัดการระหว่างการเชื่อมต่อ และการตัดการเชื่อมต่อคำว่า "เซสชัน" (Session) นั้หมายถึงการเชื่อมต่อกันในเชิงตรรกะ (Logic) ระหว่างปลายทางทั้งสองด้าน (เครื่อง 2 เครื่อง) ชั้นนี้อาจไม่จำเป็นต้องถูกใช้งานเสมอไป อย่างเช่นถ้าการสื่อสารนั้นเป็นไปในแบบ "Connectionless" ที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ เป็นต้น ระหว่างการสื่อสารในแบบ "Connection-less" ทุกๆ แพ็กเก็ต (Packet) ของข้อมูลจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องปลายทางที่เป็นผู้รับติดอยู่อย่างสมบูรณ์ในลักษณะของจดหมายที่มีการจ่าหน้าซองอย่างถูกต้องครบถ้วน ส่วนการสื่อสารในแบบ "Connection Oriented" จะต้องมีการดำเนินการบางอย่างเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อ หรือเกิดเป็นวงจรในเชิงตรรกะขึ้นมาก่อนที่การรับ/ส่งข้อมูลจะเริ่มต้นขึ้น แล้วเมื่อการรับ/ส่งข้อมูลดำเนินไปจนเสร็จสิ้นก็ต้องมีการดำเนินการบางอย่างเพื่อที่จะตัดการเชื่อมต่อลง ตัวอย่างของการเชื่อมต่อแบบนี้ได้แก่การใช้โทรศัพท์ที่ต้องมีการกดหมายเลขปลายทาง จากนั้นก็ต้องมีการดำเนินการบางอย่างของระบบจนกระทั่งเครื่องปลายทางมีเสียงดังขึ้น การสื่อสารจะเริ่มขึ้นจริงเมือ่มีการทักทายกันของคู่สนทนา จากนั้นเมื่อคู่สนทนาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวางหูก็ต้องมีการดำเนินการบางอย่างที่จะตัดการเชื่อมต่อลงชั้น Sussion นี้มีระบบการติดตามด้วยว่าฝั่งใดที่ส่งข้อมูลซีงเรียกว่า "Dialog Management"
Simple MailTransport Protocol (SMTP), File Transfer Protocol (FTP) และ Telnet เป็นตัวอย่างของโปรโตคอลที่นิยมใช้ และมีการทำงานครอบคลุมในชั้น Session, Presentation และ Application

Presentation Layer
ชั้น Presentation ให้บริการทำการตกลงกันระหว่างสองโปรโตคอลถึงไวยากรณ์ (Syntax) ที่จะใช้ในการรับ/ส่งข้อมูล เนื่องจากว่าไม่มีการรับรองถึงไวยากรณ์ที่จะใช้ร่วมกัน การทำงานในชั้นนี้จึงมีบริการในการแปลข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอด้วย

Application Layer
ชั้น Application เป็นชั้นบนสุดของแบบจำลอง ISO/OSI เป็นชั้นที่ใช้บริการของชั้น Presentation (และชั้นอื่นๆ ในทางอ้อมด้วย) เพื่อประยุกต์ใช้งานต่างๆ เช่น การทำ E-mail Exchange (การรับ/ส่งอีเมล์), การโอนย้ายไฟล์ หรือการประยุกต์ใช้งานทางด้านเครือข่ายอื่นๆ


จากรูปเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง OSI Model กับการสื่อสารของ Internet โดยจะแสดงรูปแบบข้อมูล, data และอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในแต่ละ Layer
เป็นอย่างไรมั่งครับ OSI Model ถือเป็นพื้นฐานของ Network เลยทีเดียว ซึ่งหากเราเข้าใจหลักการทำงานของมันแล้ว เราจะสามารถออกแบบและวิเคราะห์ Network ต่างๆ ได้ง่ายขึ้นครับ

แถมความรู้อีกนิดละกันเกี่ยวกับหน่วยของข้อมูลต่างๆ ที่เราเคยได้ยินว่าแต่ละแบบคืออะไร

ข้อมูลที่ส่งในระบบเครือข่ายมีหลายรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละ Application หรือแต่ละผู้ผลิต แต่รูปแบบทั่วไปที่เรียกข้อมูลได้แก่
Frame หน่วยของข้อมูลในระดับ Datalink Layer
Packet หน่วยของข้อมูลในระดับ Network Layer
Datagram หน่วยของข้อมูลในระดับ Network Layer ที่มีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ Connectional Less
Segment หน่วยของข้อมูลในระดับ Transport Layer
Message ระดับข้อมูลในเหนือ Network Layer มักจะหมายถึงระดับ Application Layer
Cell หน่วยข้อมูลที่มีขนาดแน่นอนในระดับ Datalink Layer ใช้เป็นหน่วยในลักษณะการส่งข้อมูลแบบสวิตซ์ เช่น Asynchronous Transfer Mode (ATM) หรือ Switched Multimegabit Data Service (SMDS)
Data unit หน่วยข้อมูลทั่วไป

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

4.1 การสื่อสารข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร
4.2 การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
4.3 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารจะประกอบด้วย
1 ผู้ส่ง (Sender)
2 ตัวกลาง (Media)
3 ข้อมูล (Message)
4 ผู้รับปลายทาง (Receiver)
องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วย
1 ส่ง (Sender)
2 ตัวกลาง (Media)
3 ข้อมูล (Message)
4 ผู้รับปลายทาง (Receiver)
5 โปรโตคอล (Network Protocol)
สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1 สื่อกลางที่เป็นสายสัญญาณ (Wire)
สายเกลียวคู่ (Twisted pair Cable)
สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)
เส้นใยแก้วนำแสง หรือ ไฟเบอร์ออฟติกส์ (Fiber Optic Cable)
2 สื่อกลางที่ไม่ใช้สายสัญญาณ (Wireless)
ระบบไมโครเวฟ  (Microware System)
การสื่อสารด้วยดาวเทียม  (Satellite Transmission)
ระบบที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นพาหะ (Radio Carrier)
ระบบที่ใช้คลื่นแสงเป็นพาหะ (Light Carrier)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์(Computer Network)
หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกัน เพื่อให้ผู้ใช้ในระบบเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายได้
ประโยชน์ของระบบเครือข่าย

1 สามารถใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Peripheral sharing)
2 การใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกัน (Software sharing)
3 การใช้ข้อมูลร่วมกัน (File sharing)
4 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Electronic Communication)
5 ประหยัดค่าใช้จ่าย

ประเภทของระบบเครือข่าย
1 ระบบเครือข่ายระยะใกล้
มีขนาดเล็ก ครอบคลุมพื้นที่จำกัด เชื่อมโยงกันในรัศมีใกล้ ๆ
ตัวอย่างเช่น ในอาคารเดียวกัน ห้องเดียวกัน ภายในตึกเดียวกันหรือหลาย ตึกใกล้กัน
ไม่ต้องเชื่อมการติดต่อกับองค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย

2 ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์กระยะกลาง
เป็นระบบเครือข่ายระดับเมือง คือมีการเชื่อมโยงกันในพื้นที่ที่กว้างไกลกว่าในระบบ LAN
ตัวอย่างเช่น เชื่อมโยงกันภายในจังหวัด โดยจะต้องมีการใช้ระบบเครือข่ายขององค์การโทรศัพท์หรือองค์การสื่อสาร แห่งประเทศไทย
การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระยะห่างไกลกันในช่วง 5-40 กิโลเมตร ผ่านสายสื่อสารประเภทต่าง ๆ เช่น เส้นใย แก้วนำแสง สายเคเบิลหรือสายโคแอกเชียล
ต้องการความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูง
โดยที่การสื่อสารนั้นจะจำกัดภายในบริเวณเขต ตัวเมืองหรือเขตมหานคร

3 ระบบเครือข่ายระยะไกล

เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน
การติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศข้ามทวีปหรือทั่วโลก
มีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย
ตัวอย่างเช่น อินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นเครือข่าย WAN ประเภทหนึ่ง แต่เป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของทั้งหมด

ฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์
สายเคเบิล
ฮับ (Hub)
รีพีตเตอร์ (Repeater)
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (LAN Card)
บริดจ์ (Bridge)
สวิตซ์ (Switch)
เกทเวย์ (Gateway

1 เครื่องคอมพิวเตอร์(Computer)
ในระบบเครือข่ายมีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน
คอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกัน สามารถที่จะนำคอมพิวเตอร์ต่างรุ่นกันมาเชื่อมต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพีซี แมคอินทอช
ทรัพยากรอื่น ๆ ในเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ แฟกซ์หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูล
2 สายเคเบิล(Cable)

สายเคเบิลที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายแบบด้วยกัน แต่ละแบบก็มีความเร็วในการรับส่ง ข้อมูล และราคาแตกต่างกันไป
การเลือกใช้สายเคเบิลอย่างไร ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของเครือข่ายที่ใช้
3 รีพีตเตอร์ (Repeater)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนตัวกลางนำสัญญาณจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง เช่น จากไฟเบอร์ออปติกมา ยังโคแอกเชียล หรือการเชื่อมระหว่างตัวกลางเดียวกันก็ได้
การใช้รีพีตเตอร์จะทำให้เครือข่ายทั้งสอง เสมือนเชื่อมกัน โดยที่สัญญาณจะวิ่งทะลุถึงกันได้หมด
รีพีตเตอร์จึงไม่มีการกันข้อมูล แต่จะมีประโยชน์ในการเชื่อมต่อความยาวให้เพิ่มขึ้น

การสื่อสารข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์

4.1 การสื่อสารข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร
4.2 การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
4.3 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
องค์ประกอบของการสื่อสารประกอบด้วย
1 ผู้ส่ง (Sender)
2 ตัวกลาง (Media)
3 ข้อมูล (Message)
4 ผู้รับปลายทาง (Receiver)
องค์ประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วย

การแชร์โฟล์เดอร์

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553ต้องการแชร์ Folder ใน Windows 95
เพื่อให้ผู้อื่นสามารถใช้ดึงข้อมูลไปใช้งานได้ ทำอย่างไร ?
ตอบ - ท่านสามารถทำการแชร์โฟล์เดอร์ ได้ดังนี้ 1. ชี้เมาส์ไปที่โฟล์เดอร์ที่ต้องการ 2. คลิกขวา จะปรากฎ ไดอะล็อกบ๊อกซ์ 3. เลือก Sharing... 4. จะปรากฎ ไดอะล็อกบ๊อกซ์ ให้คลิกที่แท็บ Sharing ในหน้านี้ ให้เลือก Shared as จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ ดังนี้ Share name จะปรากฎเป็นชื่อของ Folder ที่เราต้องการแชร์ หากไม่พอใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้
Comment ให้ป้อนข้อความอธิบายของการแชร์ (อาจจะไม่ป้อนก็ได้หากไม่ต้องการ) ในส่วนของ Access Type จะมีอ็อพชั่นให้เลือกคือ Read-Only แชร์โดยให้สามารถทำการ อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Access Type จะมีอ็อพชั่นให้เลือกคือ Read-Onlyแชร์โดยให้สามารถทำการ อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Read-Only Password Fullเป็นการแชร์โดยสามารถทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงและลบได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่าน ทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Full Access Password Depends on Password เป็นการแชร์โดยสามารถแชร์ได้ทั้งสองอย่างแต่มีเงื่อนไขคือให้ใส่รหัสผ่านก่อน ถึงจะสามารถเข้าใช้งานในโฟล์เดอร์ได้หากต้องการมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Read-Only Password และในช่อง Full Access Password 5. คลิกปุ่ม OK รอสักครู่ จะปรากฎรูปมือ ที่โฟล์เดอร์ที่ต้องการแชร์ ก็เป็นอันว่าโฟล์เดอร์นี้สามารถแชร์ ให้ผู้อื่น ใช้งานได้ตามต้องการ
จากคุณ: MIS
เขียนโดย jaruwan ที่ 21:59 0 ความคิดเห็น ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook แบ่งปันไปที่ Google Buzz
การแชร์โฟลเดอร์
ต้องการแชร์ Folder ใน Windows 95
เพื่อให้ผู้อื่นสามารถใช้ดึงข้อมูลไปใช้งานได้ ทำอย่างไร ?
ตอบ - ท่านสามารถทำการแชร์โฟล์เดอร์ ได้ดังนี้ 1. ชี้เมาส์ไปที่โฟล์เดอร์ที่ต้องการ 2. คลิกขวา จะปรากฎ ไดอะล็อกบ๊อกซ์ 3. เลือก Sharing... 4. จะปรากฎ ไดอะล็อกบ๊อกซ์ ให้คลิกที่แท็บ Sharing ในหน้านี้ ให้เลือก Shared as จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ ดังนี้ Share name จะปรากฎเป็นชื่อของ Folder ที่เราต้องการแชร์ หากไม่พอใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้
Comment ให้ป้อนข้อความอธิบายของการแชร์ (อาจจะไม่ป้อนก็ได้หากไม่ต้องการ) ในส่วนของ Access Type จะมีอ็อพชั่นให้เลือกคือ Read-Only แชร์โดยให้สามารถทำการ อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Access Type จะมีอ็อพชั่นให้เลือกคือ Read-Onlyแชร์โดยให้สามารถทำการ อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Read-Only Password Fullเป็นการแชร์โดยสามารถทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงและลบได้ หากต้องการที่จะมีรหัสผ่าน ทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Full Access Password Depends on Password เป็นการแชร์โดยสามารถแชร์ได้ทั้งสองอย่างแต่มีเงื่อนไขคือให้ใส่รหัสผ่านก่อน ถึงจะสามารถเข้าใช้งานในโฟล์เดอร์ได้หากต้องการมีรหัสผ่านทำได้โดยการป้อนรหัสไว้ในส่วนของ Passwords ในช่อง Read-Only Password และในช่อง Full Access Password 5. คลิกปุ่ม OK รอสักครู่ จะปรากฎรูปมือ ที่โฟล์เดอร์

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คืออะไร / เทคโนโลยี 3G หมายถึง / ความเร็ว 3G




เทคโนโลยี 3G พัฒนามาจากอะไร ระบบ 3G คืออะไร และมี ความเร็ว เท่าไร




ระบบ 3G ( UMTS ) นั้นคือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น

สำหรับเมืองไทยนั้น ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA , HSUPA และ HSPA+

HSDPA นั้นจะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps.
(ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการอยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น)
HSUPA จะเหมือนกับ HSDPA ทุกอย่างแต่การ Upload ข้อมูลจะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 Mbps
HSPA+ เป็นระบบในอนาคต การ Download ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps / Upload 22 Mbps


สำหรับในเมืองไทยนั้น ระบบ 3G ( HSPA ) ที่ Operator AIS หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้า

ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard แบบที่รองรับ 3G คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลก จะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐานคือ 850 , 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้

คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ True
คลื่นความถี่ ( band ) 2100 คาดว่าจะถูกพัฒนาโดย AIS (อยู่ในขั้นตอนการประมูล)
คลื่นความถี่ ( band ) 1900 ยังไม่แน่ชัดว่าจะถูกปล่อยออกโดยบริษัทไหน

ดังนั้นการเลือกซื้อ Air Card, Router หรือ โทรศัพท์มือถือ และต้องการให้รอบรับ 3G ควร check ให้ดีก่อนว่าสามารถรองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น

การที่มีระบบ 3G นั้นจะทำให้ใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น ลองนึกดูว่าสามารถฟัง Imeem คุย MSN หรือแม้แต่ดู Youtube จากที่ไหนก็ได้ผ่านมือถือ และอื่นๆอีกมากมายเลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

3 จีคือ อะไร

หากสติผมไม่เลอะเลือน จำได้ว่าเคยนั่งเครื่องบินออกจากสมัยที่เป็นสนามบินดอนเมืองอยู่ เมื่อสมัยกลางปี 2549 ไปดูงาน Comunique Asia ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ ตอนนั้น หรือ 4 ปีที่แล้ว สิงคโปร์ เปิดให้บริการระบบไร้สัญญาณเคลื่อนที่แบบ 3จี หรือ Third Generation มาได้ราว 1 ปีถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ของคนสิงคโปร์

โดย...ธนพล ไชยภาษี

ส่วนกะเหรี่ยงไทยอย่างผม ก็ได้รู้จักแต่ชื่อ เพราะไม่เคยใช้ แม้กระทั่งวันนี้ 4 ปีให้หลัง ก็ยังคงได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยใช้เหมือนเดิม

ที่ยกเรื่องนี้มาพูดเพราะเห็นว่า 3จี กลายเป็นข่าวขึ้นมาอีกแล้วเมื่อกระทรวงการคลังเตรียมรื้อสัญญาณสัมปทานมือ ถือใหม่ ประมาณว่ารักพี่เสียดายน้อง ในอนาคตเราจะมี 3จี แต่ระบบ 2จี ก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป
3จี คืออะไร เห็นพูดกันนักหนา มีประโยชน์อะไรกันมากมาย ผมขอไล่เรียงมากันทีละจีครับ

จี คือ ตัว G ในภาษาอังกฤษ ย่อมาจาก Generation แน่นอนใครๆ ก็รู้ ในยุคแรก ซึ่งก็คือยุค 1จี คือเป็นระบบอะนาล็อก ใช้โทร.เข้ารับสายกันอย่างเดียวส่งข้อมูล เมสเสจ เอสเอ็มเอสอะไรก็ไม่ได้

ยุคต่อมาคือยุค ดิจิตอล เป็นระบบ 2จี ที่เมืองไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน คือเพิ่มระบบการส่งข้อมูล หรือ Data ได้แทนที่จะใช้การส่งเสียงอย่างเดียว และสามารถกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับจุดต่อสัญญาณต่างๆ โทรศัพท์เครื่องเดียว จึงสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก หรือที่เรียกว่าระบบ Global System for Mobilizationซึ่งก็คือ GSM ที่เราเรียกกันนั่นแหละครับ

ระบบ 2จี ก็พัฒนาระบบขึ้นมาเป็น 2.5จี มีการเพิ่มเทคโนโลยี GPRS ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูล มีความเร็วสูงสุดประมาณ 115 Kbps ครับ ต่อมาก็พัฒนาต่อเนื่องมาเป็น 2.75จี มีระบบส่งข้อมูลที่เหนือขึ้นคือEDGE มีความเร็วในการส่งข้อมูลเร็วสูงสุดประมาณ 380 Kbps

คือถ้าจะให้พูดกัน ถ้าไม่ได้ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงอะไรมากนัก ระบบ 2.75จี ก็ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้สามัญชนธรรมดาได้ในระดับหนึ่งครับ

แต่ 3จี มันมีดีอะไร เมืองไทยถึงมาช้าเหลือกัน

จุดเด่นที่สุดของ 3จี คือความเร็วในการส่งข้อมูลไร้สายที่มีความเร็วอย่างต่ำที่สุดที่ 1 Mbps อย่างที่ผู้ให้บริการบางรายในไทยที่กำลังทดสอบอยู่นั้นความเร็วก็อยู่แถวๆ 7 Mbps ครับ ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่เป็นไปได้สะดวกมากขึ้น

และจุดเด่นของ 3จี อีกประการหนึ่งก็คือ การรับส่งข้อมูลเสียง กับข้อมูลไร้สายได้พร้อมๆ กัน ที่ระบบ 2จี ทำไม่ได้ ใครใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนในปัจจุบันจะเจอปัญหาโทร.ไม่ติดบ้าง เพราะว่าโทรศัพท์กำลังรับข้อมูลอื่นอยู่

แต่ 3จี สามารถรับส่งข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน 3จี จึงตอบสนองการทำงานรับส่งข้อมูลทางธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยมครับ

แต่ตอนนี้โลกกำลังพัฒนาเข้าสู่ระบบ 4จี แล้วที่มีความเร็วระดับ 100 Mbps สำหรับเมืองไทยอย่าเพิ่งไปฝันถึงมันครับ

คำอธิบายเพิ่มเติม เกาะทุกประเด็นร้อนกับ โพสต์ทูเดย์ดอทคอม คลิก!

3 จีคืออะไร

หากสติผมไม่เลอะเลือน จำได้ว่าเคยนั่งเครื่องบินออกจากสมัยที่เป็นสนามบินดอนเมืองอยู่ เมื่อสมัยกลางปี 2549 ไปดูงาน Comunique Asia ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ ตอนนั้น หรือ 4 ปีที่แล้ว สิงคโปร์ เปิดให้บริการระบบไร้สัญญาณเคลื่อนที่แบบ 3จี หรือ Third Generation มาได้ราว 1 ปีถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ของคนสิงคโปร์

โดย...ธนพล ไชยภาษี

ส่วนกะเหรี่ยงไทยอย่างผม ก็ได้รู้จักแต่ชื่อ เพราะไม่เคยใช้ แม้กระทั่งวันนี้ 4 ปีให้หลัง ก็ยังคงได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยใช้เหมือนเดิม

ที่ยกเรื่องนี้มาพูดเพราะเห็นว่า 3จี กลายเป็นข่าวขึ้นมาอีกแล้วเมื่อกระทรวงการคลังเตรียมรื้อสัญญาณสัมปทานมือ ถือใหม่ ประมาณว่ารักพี่เสียดายน้อง ในอนาคตเราจะมี 3จี แต่ระบบ 2จี ก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป
3จี คืออะไร เห็นพูดกันนักหนา มีประโยชน์อะไรกันมากมาย ผมขอไล่เรียงมากันทีละจีครับ

จี คือ ตัว G ในภาษาอังกฤษ ย่อมาจาก Generation แน่นอนใครๆ ก็รู้ ในยุคแรก ซึ่งก็คือยุค 1จี คือเป็นระบบอะนาล็อก ใช้โทร.เข้ารับสายกันอย่างเดียวส่งข้อมูล เมสเสจ เอสเอ็มเอสอะไรก็ไม่ได้

ยุคต่อมาคือยุค ดิจิตอล เป็นระบบ 2จี ที่เมืองไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน คือเพิ่มระบบการส่งข้อมูล หรือ Data ได้แทนที่จะใช้การส่งเสียงอย่างเดียว และสามารถกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับจุดต่อสัญญาณต่างๆ โทรศัพท์เครื่องเดียว จึงสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก หรือที่เรียกว่าระบบ Global System for Mobilizationซึ่งก็คือ GSM ที่เราเรียกกันนั่นแหละครับ

ระบบ 2จี ก็พัฒนาระบบขึ้นมาเป็น 2.5จี มีการเพิ่มเทคโนโลยี GPRS ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูล มีความเร็วสูงสุดประมาณ 115 Kbps ครับ ต่อมาก็พัฒนาต่อเนื่องมาเป็น 2.75จี มีระบบส่งข้อมูลที่เหนือขึ้นคือEDGE มีความเร็วในการส่งข้อมูลเร็วสูงสุดประมาณ 380 Kbps

คือถ้าจะให้พูดกัน ถ้าไม่ได้ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงอะไรมากนัก ระบบ 2.75จี ก็ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้สามัญชนธรรมดาได้ในระดับหนึ่งครับ

แต่ 3จี มันมีดีอะไร เมืองไทยถึงมาช้าเหลือกัน

จุดเด่นที่สุดของ 3จี คือความเร็วในการส่งข้อมูลไร้สายที่มีความเร็วอย่างต่ำที่สุดที่ 1 Mbps อย่างที่ผู้ให้บริการบางรายในไทยที่กำลังทดสอบอยู่นั้นความเร็วก็อยู่แถวๆ 7 Mbps ครับ ทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่เป็นไปได้สะดวกมากขึ้น

และจุดเด่นของ 3จี อีกประการหนึ่งก็คือ การรับส่งข้อมูลเสียง กับข้อมูลไร้สายได้พร้อมๆ กัน ที่ระบบ 2จี ทำไม่ได้ ใครใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนในปัจจุบันจะเจอปัญหาโทร.ไม่ติดบ้าง เพราะว่าโทรศัพท์กำลังรับข้อมูลอื่นอยู่

แต่ 3จี สามารถรับส่งข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน 3จี จึงตอบสนองการทำงานรับส่งข้อมูลทางธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยมครับ

แต่ตอนนี้โลกกำลังพัฒนาเข้าสู่ระบบ 4จี แล้วที่มีความเร็วระดับ 100 Mbps สำหรับเมืองไทยอย่าเพิ่งไปฝันถึงมันครับ

คำอธิบายเพิ่มเติม เกาะทุกประเด็นร้อนกับ โพสต์ทูเดย์ดอทคอม คลิก!